วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิธี reset ซับหมึก mp145
ไม่ต้องถอดปลั๊กเสียบปลั๊กให้วุ่นวายและสับสน ใช้วิธีเปิดที่ตัวเครื่องตามปกติ โดยกดปุ่ม reset และ power ค้างไว้จนไฟเขียวที่ power ขึ้น ก็กด reset 2 ครั้ง ครั้งแรกไฟส้มติดครั้งที่ 2 ดับ ให้ปล่อยปุ่ม power รอไฟเขียวนิ่ง แล้วจึงกด reset ตามจำนวนที่กำหนด ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น รีเซ็ตซับหมึกก็กด 4 ครั้ง ไฟส้มต้องติดสลับดับจึงจะเป็นขั้นตอนที่ถูกต้อง พอทำเสร็จก็ปิด power บางที่บอกให้ unplug ใครทำอย่างไหนไม่ได้ก็ลองอีกอย่าง น่าจะทำได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ส่วนตัวเองนั้น ใช้ปิดที่ปุ่ม power แล้วเปิดใหม่เสมือนการรีสตาร์ทให้มีผลหลังการตั้งค่านั่นเอง

E8 หรือ error code 8 แปลได้ว่า ซับหมึกเต็ม มักจะเกิดหลังใช้งานเครื่องพิมพ์ได้ราวๆปีถึงปีเศษ(ระดับการใช้งานตามบ้าน) เมื่อขึ้น Error ดังกล่าว เครื่องพิมพ์จะหยุดการทำงานทุกอย่าง แม้ไม่ได้ใช้งานพิมพ์ ต้องการใช้งานสแกนเนอร์ที่ติดมาด้วย ก็จะทำไม่ได้ (ซับหมึกก็คือฟองน้ำที่อยู่ในเครื่องพิมพ์ตรงตำแหน่งด้านหลังของเครื่องพิมพ์อยู่ล่างๆเลย มีหน้าที่รับหมึกส่ว่นเกินที่ระบายจากการล้างหัวพิมพ์ตอนเปิดเครื่องหรือก่อนทำการพิมพ์ตามสั่ง ระบายผ่านทางท่อยางเล็กๆที่โยงไปด้านหลังตรงตำแหน่งฟองน้ำ ฟองน้ำนี้คือซับหมึก และใช้งานไปสักปีครึ่งถ้าไม่ได้ใช้หนักมากแบบร้านค้า ก็ราวๆนั้น ซับหมึกจะเริ่มชุ่มไปด้วยหมึกรองรับต่อไปไม่ได้ เวลาพิมพ์หมึกจะเลอะล้นพิมพ์งานได้คุณภาพแย่ลง ต้องแกะไปล้างแล้วผึ่งแห้งก่อนใส่กลับเข้าไปใหม่ บางคนใช้วิธีเจาะด้านหลังโยงท่อยางเล็กๆนั้นไปต่อเข้ากับขวดเล็กๆแทน กรณีโปรแกรมแจ้งว่าซับหมึกเต็มอันนั้นเป็นกระบวนการนับเราต้องรีเซ็ตซับหมึกให้กลับไปเริ่มต้นนับใหม่ ไม่งั้นเครื่องจะไม่ทำงานต่อ)

ในระยะใช้งานหนึ่งปีเศษนั้น ตลับหมึกใหม่ที่ซื้อมาราคาแพง หัวพิมพ์ที่ติดมากับตลับมักจะเริ่มมีการอุดตันที่ไม่สามารถล้างออกได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด และจะออกอาการพิมพ์แล้วเส้นขาดๆหายๆ หรือจางบางจุด งานพิมพ์เป็นทางการทำไม่ได้ แค่พิมพ์ไว้อ่าน บางรายสาหัสถึงขั้นเติมหมึกเท่าไหร่ล้างห้วพิมพ์เท่าไหร่หมึกไม่ออกซะงั้น บางครั้งก็มาจากสาเหตุคือฟองน้ำหมดอายุอุ้มน้ำหมึกไม่ดีเท่าเดิม .. ทั้งหมดนี้สรุปว่า ถึงเวลาซื้อตลับใหม่ ..

แต่ราคาตลับใหม่นั้น ซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่ได้เลยแถมไ่ม่ต้องกังวลเรื่องหมึกเลอะเทอะตรงฐานตลับที่ต่อสายยางระบายหมึกส่วนเกินออกสู่ซับหมึก ไม่ต้องกังวลเรื่องซับหมึกเต็มต้องเอาไปล้างหรือต้องรีเซ็ตซับหมึก (มิต้องซื้อทุกปีหรือนี่ !)

ผู้คนมักถามไถ่กันว่า .. หากไม่ใช้พิมพ์ เรายังใช้สแกนเนอร์ได้ไหม ..

แล้วเราก็ทำได้สำเร็จหลังงมอยู่นาน ทำตามบนเน็ตแนะนำเท่าไหร่ไม่สำเร็จ หลายคนบอกว่าทำได้ เรากลับทำไม่ได้ ทั้งๆที่ทำตามเขาทุกขั้นตอน แต่ปริศนามันอยู่ตรงนี้นี่เอง

ขั้นตอนที่ทำแล้วสำเร็จ

1. ปิดเครื่องซะก่อน .. ไม่ต้องถอดปลั๊กเสียบปลั๊ก ไม่งั้นจะทำไม่สำเร็จอย่างที่เรางมแทบแย่ (ให้ผลต่างกันได้ยังไงก็ยัง งงๆอยู่เหมือนกัน เพราะเราไม่ใช่คนเขียนโปรแกรม)

2. กดปุ่ม stop/reset ค้างไว้ แล้ว กดปุ่ม on/off ค้างตาม จน on/off ขึ้นไฟเขียว .. อย่าเพิ่งปล่อยปุ่ม

3. ปล่อย stop/reset ก่อน(อย่าเพิ่งปล่อยปุ่ม on/off) แล้วกดปุ่ม stop/reset 2 ครั้ง ครั้งแรกจะขึ้นไฟสีส้มที่ Alarm ครั้งที่สอง ไฟส้มจะหายไป

4. ทีนี้ก็ปล่อยปุ่ม on/off ได้แล้ว รอจนไฟเขียวที่กระพริบๆนั้น หยุดนิ่งเสียก่อน ซึ่งถ้าใครเคยรีเซ็ตตลับหมึกจะพอรู้ถึงขั้นตอนนี้ เพราะขั้นตอนนี้คือการเข้าสู่ service mode เหมือนกัน แต่ต่างกันที่การถอดปลั๊กเสียบปลั๊กหรือการปิดเปิดที่ตัวเครื่องตอนจะเข้า service mode ซึ่งให้ผลต่างกัน (เน้นมากกก)

เมื่อเข้าสู่ โหมด service แล้ว ก็จะนำไปสู่การรีเซ็ตต่างๆได้ โดยผ่านการกดปุ่มรีเซ็ตตาำมจำนวนที่ระบุ ที่หาได้จากเน็ตก็มีดังนี้

The number of the Reset button pressing LED Function Remarks

0 time Green Power off
1 time Orange Service pattern print
2 times Green EEPROM print
3 times Orange EEPROM reset
4 times Green Waste ink counter reset

5. พอไฟเขียวที่ on/off นิ่ง หน้าปัทม์จะขึ้น 0 (=service mode) .. กดปุ่ม stop/reset ทั้งหมด 4 ครั้ง (4 times Waste ink counter reset) ย้ำว่า แต่ละครั้งต้องมีไฟส้มติดสลับกับดับ คือ กดครั้งที่ 1 ไฟส้มที่ Alarm ติด ครั้งที่ 2 ดับ ... ฯลฯ พอครบ 4 ครั้ง เราก็กดปุ่ม on/off เพื่อปิดเครื่อง แล้วรอสักหน่อยค่อยเปิดใหม่ สัก 30 วินาทีก็ได้ ทีนี้ E 8 ก็น่าจะหายไปแล้ว ของภาษาปะกิตเค้าให้ถอดปลั๊กตอนปิดเครื่อง แต่เรากดปิดที่ปุ่มก็ยังโอเคอยู่

ทีนี้ เราก็สามารถรีเซ็ตซับหมึกจนเครื่องไม่ขึ้น E8 แล้ว ทำให้เราใช้งานสแกนเนอร์ได้ เพราะเวลาขึ้น E8 มันจะยืนยันว่า เครื่องอยู่ในสถานะการบำรุงรักษา มันจะไม่ยอมสแกน กระทั่งปลด E8 แล้ว มันจึงจะทำงานให้เราได้

ส่วนการรีเซ็ตตลับหมึกก็ดังปรากฏในหลายแห่งบนเน็ต .. แต่ยกมารวมไว้ที่นี่เลย กรณีจะใช้สแกนแล้วเครื่องติดไฟส้ม บ่งชี้ว่า ตลับดำกับสีใกล้หมด เราจะยังใช้สแกนได้ แต่หากไม่รีเซ็ตไว้ เวลาปิดเครื่องแล้วเปิดเครื่องมาอาจเจอไฟส้มกะพริบขึ้น Error ทำให้ใช้สแกนไม่ได้อยู่ดี จึงจำเป็นต้องทำไว้

ขั้นตอนที่ 1-4 เหมือนข้างบน ต่างกันที่ถอดปลั๊กเสียบปลั๊กแทนการปิดเปิดที่เครื่องเพื่อเข้า service mode ..

1. ปิดเครื่องซะก่อน คราวนี้ถอดปลั๊กด้วย(ใช้ปลั๊กต่อที่มีสวิทซ์ปิดเปิดจะสะดวก)

2. กดปุ่ม stop/reset พร้อมกับ ปุ่ม on/off ค้างไว้ เสียบปลั๊กหรือเปิดสวิทซ์ระหว่างกดสองปุ่มค้างอยู่ กระทั่ง on/off ขึ้นไฟเขียว .. อย่าเพิ่งปล่อยปุ่ม

3. ปล่อย stop/reset (อย่าเพิ่งปล่อยปุ่ม on/off) แล้วกดปุ่ม stop/reset 2 ครั้ง ครั้งแรกจะขึ้นไฟสีส้มที่ Alarm ครั้งที่สอง ไฟส้มจะหายไป

4. ทีนี้ก็ปล่อยปุ่ม on/off ได้แล้ว บางคนก็ให้ปล่อยปุ่ม on/off พร้อมกับการปล่อยปุ่ม stop/reset หลังกดครั้งที่ 2 แต่เราคิดว่าไม่น่าต่างกัน ต่อจากนั้นก็รอจนไฟเขียวที่ on/off ซึ่งกระพริบอยู่ ให้หยุดนิ่งเสียก่อน ก็จะเข้าสู่โหมด service ( service mode ) หน้าปัทม์ขึ้นเลข 0

5. กด + ข้างๆหน้าปัทม์ ให้ขึ้นเลข 1 แล้วกด start (ตรง color) 2 ครั้ง แล้วตามด้วยปุ่มปิดเปิด เครื่องจะสั่งพิมพ์ 2 แผ่น(อย่าลืมใส่กระดาษ)

6. พอพิมพ์ครบ 2 แผ่นหน้าปัทม์จะกลับมาขึ้นเลข 0 เราก็ยกฝาเพื่อเข้าถึงตลับหมึก ซึ่งตลับมันจะวิ่งมาทางซ้ายเหมือนจะพร้อมให้เปลี่ยนตลับ พอวิ่งมาถึงด้านซ้ายให้ถอดปลั๊กหรือกดสวิทซ์ปิดทันที

7. ถอดตลับไปเติมหมึกได้ หรือถ้ารีเซ็ตอย่างเดียวไม่ได้เติมหมึก ก็ปิดฝาแล้วเปิดเครื่องใหม่แบบปกติ(แบบไม่ต้องถอดปลั๊กเสียบปลั๊ก) ทีนี้เปิดมา ไฟส้มที่แสดงว่าตลับหมึกหมด(แต่ยังไม่กะพริบ)ก็หายไปได้ เรียกว่า รีเซ็ตตลับหมึกสำเร็จแล้ว

ปล. .. กรณีจะถ่ายเอกสาร ก็สแกนเอกสารเข้าเครื่อง แล้วจัดเก็บเป็น jpg นำไปแทรกในเอกสารเวิร์ด เพื่อให้ได้ขนาด A4 แล้วสั่งพิมพ์ออกมา ... เป็นข้อแนะนำสำหรับคนที่ใช้เครื่องพิมพ์ตัวเก่าที่มีสแกนฯแต่ซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่ที่ไม่มีสแกนเนอร์และถ่ายเอกสารไม่ได้ สำหรับตัวเองแล้วซื้อเครื่องพิมพ์แบบไม่มีสแกนเนอร์เพราะกะว่าเวลาถอดซ่อมฐานตลับหรือถอดซับหมึกไปล้างน่าจะง่ายกว่า

อีกเรื่องคือการเติมหมึก .. ต้องระวังอย่าเติมล้นจนเกินไป สีไม่ออกเฉยเลย ต้องเติมแล้วซับด้านล่างให้เป็นสามแท่งแบบไม่ซึมเข้าหากันหรือกินกัน .. เอ๊ะ มันกินกันได้เหรอเนี่ย แคนนอนดีอย่างเราไม่ต้องฉีดน้ำหมึกลึกมากก็ได้ ทำให้ไม่เสี่ยงที่เข็มจะไปทิ่มตำแผ่นกรองหมึกที่ปิดไว้ก่อนถึงช่องเปิดให้หมึกไหลออกหรือเสี่ยงไปโดนหัวพิมพ์ให้เสียหายได้ เวลาเติมก็ไม่รั่วไหลลงก้นเร็วนัก ทำให้เติมได้เยอะขึ้น เพราะจะใช้แรงดันบีบอัดฟองน้ำ ประเดี๋ยวสีก็ซึมกระจายไปทั่วฟองน้ำเอง แต่อย่าให้ล้นละกัน ถ้าล้นก็ดูดจากผิวๆออกจนดูดได้แต่อากาศ ก็น่าจะประมาณว่า ใช้ได้ ถ้าฟองน้ำยังอุ้มน้ำหมึกได้ดีอยู่ก็ไม่น่ามีปัญหามากนะ สำหรับตลับใหม่ๆ